Tuesday, March 21, 2006

รวมประสบการณ์การขอ K2 ทำเรื่องจากอเมริกา

โพสต์ รวมประสบการณ์การขอ K2 ทำเรื่องจากอเมริกา
K2 มาด้วย visa K1 แต่มีโครงการว่าจะพาลูกชายมาอยู่ด้วย

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ พอดีอยากทราบเกี่ยวกับ visa k2 นะค่ะ คือ มาด้วย visa k1 แต่มีโครงการว่าจะพาลูกชายมาอยู่ด้วย เดือนมิุถุนายน นี้นะคะ พอดีตอนนั้นไม่ได้เอาลูกชายมาด้วย ทางสถานฑูตบอกว่าถ้าจะเอาลูกชายมาต้องทำเรื่องก่อนที่ visa จะหมดอายุ(ภายใน 1 ปี) คือตอนนี้ลูกชายมี case number เหมือนกับเรา เราแค่เอา case number ไปโชว์เขาใช่ไหมค่ะ? หรือว่าต้องมีเอกสารตัวอื่นเพิ่มอีก เราต้องยื่นเรื่องสัมภาษณ์ ให้ลูกชายไหมค่ะ? แล้วจะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง? มีใครในห้องนี้เคยทำเรื่องให้ลูกบ้างค่ะ? กรุณาช่วยบอกด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

แล้วรูปถ่ายของลูกต้องใช้ยื่น หรือเปล่าค่ะ พาสปอร์ตเวลาส่งไปขอสัมภาษณ์จะต้องเป็นของเราและของลูกใช่ไหมค่ะ ถ้าใช้รูปถ่าย ลูกชายต้อง 2x2 นิ้วหรือเปล่าค่ะ เอกสารที่คุณบอกมาว่า ใช้ DS230 DS156 DS157 นี่เราใช้ตัวเดิมใช่ไหมค่ะ แต่ว่าทางสถานฑูตบอกว่ายังเก็บเอกสารเราไว้อยู่จน กว่าจะถึง 1 ปี ยังไงรบกวนถามอีกทีนะคะ ขอบคุณค่ะ

คือว่า ภัสมี Case Number เดียวกับลูกเลย ซึ่งเป็นจดหมายจากสถานฑูตที่ส่งมาให้เรา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2005 แล้วภัสทำเรืองมาอเมริกา แต่ยังไม่ได้ดำเนินเรื่องของลูก แล้วภัสต้องทำยังไงบ้างคะ รบกวนด้วยนะ คะ
Meny เขียน:
สวัสดีค่ะ เรื่องเอกสารของลูกก็ให้ยื่นขอนัดสัมภาษณ์เหมือนของเราเลยค่ะ มี checking list (same case number as your), copy of passport, DS 230 part 1 ส่งยื่นขอนัดวันสัมภาษณ์ เมื่อได้วันนัดสัมภาษณ์แล้วค่อยนำเอกสารต่าง ๆ ของลูก ที่เป็นตัวจริงและสำเนาติดไปด้วย และก็จะมี DS156, DS157 , I-134 สำเนาที่ทางแฟนรับรองให้คุณและลูกน่ะค่ะ อ้อ.... แล้วอย่าลืมพาลูกไปด้วยนะคะ เขาจะดูตัวเด็ก กับในพาสปอร์ตว่าตรงกันมั้ย แล้วต้องไปตรวจสุขภาพด้วยนะคะ ถ้าฉีดวัคซีนครบก็จะเสียเงินแค่ค่าตรวจ ประมาณ 700-800 บาทค่ะ 
โชคดีค่ะ
nokky เขียน:
คุณ Phutthan คะ เอกสารใช้เหมือนของแม่ทุกอย่างเลยค่ะ ตามที่คุณ Meny แจ้งน่ะค่ะ มีรูปถ่ายด้วย หนังสือเดินทาง และก็พาลูกชายไปด้วยนะคะ และก็อย่าลืมตรวจสุขภาพด้วย
รบกวนขอคำแนะนำเกี่ยวกับวีซ่า K2 ค่ะ
คือภัสทำเรื่องครั้งแรกขอวีให้ภัสและลูกสาวค่ะ (ลูกสาวอายุ9ขวบค่ะ) และมีจดหมายแจ้ง case number มาให้เมื่อ 7 มิถุนายน 2005 ค่ะ แล้วภัสมาอเมริกาคนเดียว แต่ลูกสาวยังอยู่ที่เมืองไทย แต่มีวงเล็บเกี่ยวกับ (p) ชื่อของภัส และ (C)ชื่อของลูกสาว

แต่ตอนนี้ภัสกลับมาเมืองไทยและติดต่อกับทาง เอเย่นต์ที่รับทำเรื่อง แต่คอยมา1 เดือนแล้วยังไม่ได้เรื่องเลยค่ะส่งสัย(ข้าพเจ้าเสียเงินฟรีแน่ ๆ เลยคิดในใจ ดังไปหน่อย) อยากรบกวนถามค่ะว่า

ภัสมีจดหมายและ case Number แล้ว ภัสอยากรู้ว่าที่คุณ Meny บอกว่า มี 
- checking list (same case number as your) 
- copy of passport 
- DS-230 part 1 
เสร็จแล้วส่งเรื่องขอนัดสัมภาษณ์ จะต้องจ่ายที่ 100U$ ที่ไปรณีย์หรือไม่คะ และต้องใช้รูปของลูกด้วยไหม และ checking list นั้นคือจดหมายที่ทางเค้าส่งมาให้เราใช่หรือไม่(ภัสแนบมาให้ดูด้วยค่ะ)

และเมื่อได้วันสัมภาษณ์แล้วต้องนำเอกสารต่าง ๆ ของลูที่เป็นตัวจริง และก็จะมีส่งฟอร์ม
- DS-156
- DS-157
- I -134
- สำเนาที่ทางแฟนรับรองให้คุณและลูก (? คืออะไรคะ และถ้าแฟนมา 
สัมภาษณ์ด้วยจะดีกว่าไหม)
- พาลูกไปด้วย 
- ใบตรวจสุขภาพ (เราเอาแบบฟอร์มมาจากไหนคะ เค้าให้เรามาหรือว่า เรา
ดาว์โหลดเองคะ) 

รบกวนให้คำกระจ่างกับภัสด้วยนะคะ รบกวนด้วยนะคะ
ภัสอยู่เมืองไทยคะ และมีนัดสัมภาษณ์กรีนการ์ด 8 มิถุนายน 2006 นี้คะ
Meny เขียน:
ตอบคุณภัสค่ะ 

เราต้องจ่าย 4000 บาทที่ไปรษณีย์เหมือนกับตอนที่คุณภัสยื่นขอวีซ่าให้ตัวเองน่ะค่ะ 

คุณเดินเรื่องด้วยตัวเองก็ได้ ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างเขาทำหรอกค่ะ 

เช็คลิสต์ ก็ให้ใช้ใบของคุณที่ทางสถานทูตถ่ายสำเนามาให้ก็ได้ค่ะ หรือจะเขียนใหม่แล้วใส่เคสนัมเบอร์ของคุณเองลงไปได้เลย 

ไม่ทราบว่าคุณนัดสัมภาษณ์ให้ลูกครั้งนี้ ใช้วิธีเดินเข้าไปในสถานทูตเอง หรือเขียนจดหมายนัดคะ 
ฟอร์มต่าง ๆ ก็ต้องกรอกแบบเดียวกันเลยค่ะ แม่ชุดนึง ลูกก็อีกชุดหนึ่ง แยกกันค่ะ รูปถ่ายก็ต้องนำไปด้วย สรุปแล้วคือ ตอนคุณขอวีซ่าของตัวเองใช้เอกสารอะไร ลูกก็ต้องใช้แบบเดียวกันเลยค่ะ เพียงแต่ใช้เคสนัมเบอร์เดียวกัน 

เอกสารซัพพอร์ตที่แฟนคุณทำให้ (ไอ 134) ตัวคุณสามารถใช้ฉบับถ่ายเอกสารแนบไปได้ค่ะ เพราะเขาจะระบุชื่อลูกคุณลงไปในนั้นด้วยแล้ว แต่ให้แน่ใจลองกลับไปอ่านดูว่ามีชื่อของลูกที่คุณจะขอวีซ่าให้เขาด้วยน่ะค่ะ แต่ถ้าอ่านแล้วไม่มีชื่อของลูก คุณต้องขอให้แฟนทำแล้วส่งมาให้ใหม่ เพราะไม่ทราบว่าคุณให้ตัวจริงสถานทูตไปตั้งแต่ครั้งที่คุณขอวีซ่าให้ตัวคุณเองหรือเปล่า 

คุณต้องนำตัวลูกสาวไปด้วยในวันสัมภาษณ์ เพราะเขาจะต้องดูว่าเด็ก กับในพาสปอร์ตเป็นคนเดียวกันหรือเปล่าค่ะ 

ลืมตอบคุณภัสไปข้อนึง การที่แฟนจะมาในวันสัมภาษณ์ด้วยหรือไม่นั้น ไม่มีผลอะไรหรอกค่ะ ขอให้เอกสารครบถ้วนถูกต้องเป็นอันใช้ได้ 

ยินดีล่วงหน้าค่ะ จะได้ไปอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก กับครอบครัวใหม่ และชีวิตใหม่ ถ้ามีอะไรยังข้องใจก็ถามมาได้นะคะ ยินดีตอบตามที่ตัวเองมีความรู้และประสบการณ์ ดิฉันไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย ก็อาศัยเว็บนี้เป็นแหล่งข้อมูลน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าจะไปอยู่รัฐไหนคะ ของดิฉันไปที่นิวเม็กซิโกค่ะ ใกล้ กับเท็กซัส ตอนนี้อยู่กรุงเทพค่ะ รอเคสอนุมัติอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่ นี่ก็ปาเข้าไป 2 เดีอนกว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววเลย ก็คงต้องรอไปก่อน แต่คงอีกนาน 2-3 เดีอนกว่าจะได้กลับไปอีก 

ดึกแล้วขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ตอนนี้ไปเรียนนวดฝ่าเท้าที่วัดโพธิ์ ต้องตื่นแต่เช้า แล้วฝีกนวดทั้งวัน กลับบ้านก็หมดแรง พักนี้เลยไม่ค่อยได้เข้ามาออนไลน์ ถ้าเข้ามาตอบช้าคงไม่ว่ากันนะคะ บาย... ค่ะ

ขอให้โชคดีค่ะ 

:FL:

อังคาร มี.ค. 21, 2006 3:13 pm
แจมน้อย
แจมน้อย

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 21, 2006 3:39 pm
โพสต์: 50
ที่อยู่: Pittsburgh,PA
โพสต์ K2 ประสบการณ์ของหน่อย Noi ไปรับลูกชาย
K2 ประสบการณ์ของหน่อย Noi ไปรับลูกชาย

จากประสบการณ์ของตัวเองที่ได้ทำมา ไม่ต้องจ้างใครทำเพราะง่ายนิดเดียวและประหยัดเงินด้วย
    มีเอกสารที่จะต้องยื่นขอการสัมภาษณ์คือ- copy passport ของลูก
    - รูปถ่ายของลูก 2 ใบ
    - chick list อันนี้กรอกลงไปเลยว่ามีเอกสารอะไรบ้างที่เรามีพร้อมในวันสัมภาษณ์ แล้วก็เซ็นต์ชื่อได้เลย
    - DS-230 กรอกแล้วเซ็นต์ได้เลย หรือจะไปเซ็นต์ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ก็ได้
    ุ- copy case number ของลูกซึ่งจะเป็นอันเดียวกับเรา
เอกสารทุกอย่างเราส่งทางไปรษณีย์ เราจะ walk in เขาไปไม่ได้ เดี๋ยวประมาณ 1 อาทิตย์เขาจะตอบเรื่องเรากลับมาว่าลูกจะต้องไปสัมภาษณ์วันไหน เขาจะส่งเอกสารมาให้เราที่บ้าน หลังจากที่เรารู้วันสัมภาษณ์แล้ว เราก็ไปจ่ายค่า visa ที่ไปรษณีย์ แล้วพาลูกไปตรวจร่างกายให้เรียบร้อยก่อนจะถึงวันสัมภาษณ์
    การเตรียมเอกสารในการสัมภาษณ์
    - เอกสารใบเสร็จในการจ่ายค่า visa
    - ใบตรวจสุขภาพจากทางโรงพยาบาล (ตัวนี้เราสามารถดาว์โหลด์แบบฟอร์มได้ ซึ่งจะต้องนำไปให้ทางโรงพยาบาล ถ้าใครไม่ได้เตรียมไปในวันที่เช็คร่างกาย ก็สามารถให้ทางโรงพยาบาลก็อปปี้จากฟอร์มได้ แผ่นละ 25 บาท นี่คือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์นนะค่ะ ชั้น 3 ค่ะ)
    - DS 156 กรอกให้เรียบร้อย
    - DS 157 กรอกให้เรียบร้อย
    - I-134 ตัวนี้เราไม่ต้องทำใหม่เพราะว่า เราสามารถใช้ตัว copy อันเก่าก็ได้
    - รูปถ่ายความสัมพันธ์ของลูกเรา และสามีเรา(ถ้ามี)
หมายเหตุ การขอวีซ่าให้ลูกนั้นถ้าจะใช้เอกสารตัวเก่าต้องทำก่อน 1 ปี นับจากวันที่เราได้ วีซ่า

สำหรับหน่อยทำเรื่องด้วยตัวเองเมื่อเร็วๆ นี้นี่เอง หน่อยส่งจดหมายไปสถานฑูตใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ เขาก็จะตอบรับกลับมา เราอาจจะแนบ จม.วันที่ส่งเรื่องนัดสัมภาษณ์ให้ลูกว่า เรามีความจำเป็นว่าจะต้องนำลูกกลับไปพร้อมด้วยวันไหน แล้วให้เขากำหนดวันสัมภาษณ์ให้เร็วขึ้นได้ไหม ก็ทำได้ค่ะ เราก็จะได้วันนัดสัมภาษณ์เร็วขึ้น ของหน่อยยื่นเรื่องนัดสัมภาษณ์และสัมภาษณ์ ก็ประมาณ 1 เดือน เร็วเหมือนกัน ถ้าเพื่อนๆ สงสัยอะไรก็เข้ามาถามได้นะค่ะ ยินดีค่ะ

พุธ พ.ค. 17, 2006 2:53 pm
ข้อมูลส่วนตัว
โพสต์ K2 สัมภาษณ์ก่อน K1 หมดอายุ 1 ปี (หลังได้ Advance Parole)
สัมภาษณ์วีซ่า K2 ก่อนวีซ่า 1 ปีหมดอายุ (หลังได้ Advance Parole) 

เรื่องมีอยู่ว่า เรากลับไปทำเรื่องให้ลูกที่เมืองไทยก่อนที่จะครบกำหนด 1 ปี เราคิดว่าคงจะยื่นเรื่องไม่นานก็น่าจะได้วีซ่าแล้ว เพราะเป็น K2 วีซ่าติดตาม แล้วก็จริงๆ ก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนฟัง ในกรณีที่ใครกำลังจะพาลูกมา
ตอนแรกที่เรายื่นเรื่องปรับสถานะขอกรีนการ์ด ในช่วงที่เรารอเราก็ขอ Advance parole ไปด้วยเลย ใช้เวลาประมาณ 5 อาทิตย์ก็ได้ Advance Parole มาครอง หลังจากนั้นก็รอว่าเราจะได้สัมภาษณ์วันไหน พอรู้แล้วก็กลับเมืองไทยค่ะไปทำวีซ่าให้ลูก แต่ในช่วงที่รออยู่ที่อเมริกา เราก็เตรียมเอกสารของลูกให้พร้อม เวลากลับไปก็จะได้ส่งเรื่องขอสัมภาษณ์ไปที่สถานฑูต พอถึงเมืองไทยเราก็กลับบ้านเลยค่ะไม่ได้พักที่กรุงเทพ เช้าวันต่อมาเราก็ไปไปรษณีย์ ส่งเอกสารไปสถานฑูต แล้วเราได้แนบเอกสารว่าขอสัมภาษณ์เร่งด่วน เพราะเราต้องกลับมาสัมภาษณ์กรีนการ์ดที่อเมริกา แล้วอยากพาลูกมาในเวลาเดียวกันเลย เราก็ได้Copy เอกสารตัวนั้นไปด้วย

พอเราส่งเรื่องไปประมาณ 1 อาทิตย์ เขาก็ตอบกลับมา ว่าได้สัมภาษณ์วันที่เท่าไหร่ เรายื่นเรื่องวันที่ 11 สิงหา ได้สัมภาษณ์ วันที่ 8 กันยา ก็ถือว่าเร็วมาก ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ค่ะ
ที่นี้เราก็รอเมื่อใกล้วันสัมภาษณ์ก็พาลูกไปกรุงเทพ วันที่ 6 ก่อนที่วันสัมภาษณ์จะมาถึงแค่ 2 วัน แล้วพาเขาไปตรวจร่างกาย จ่ายค่าวีซ๋า ตอนตรวจร่างกายรอนานมากๆ สงสารลูกมากเลยค่ะ โดนฉีดไป 2 เข็ม แต่ว่า 3 ครั้ง เพราะครั้งที่ 2 เขาดิ้นเลยฉีดได้ครึ่งเดียว เหลืออีกครึ่ง ก็เลยโดนไปซะ 3 เข็ม 

พอถึงวันสัมภาษณ์พาลูกตื่นตั้งแต่ตี 5 อาบน้ำแต่งตัว ออกจากที่พักประมาณ 7.00 น เพราะสัมภาษณ์ 9.00 น. ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินจากพระราม 9 แล้วไปลงสถานีสุขุมวิท แล้วต่อรถไฟฟ้าจากอโศก ไปลงเพลินจิต เห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีกเยอะก็เลย พาลูกเดินเล่นๆ จนไปถึงสถานฑูต ประมาณ 8.00 น. ก็ยังใจเย็นอยู่ คิดว่ายังไงเอกสารเราก็ครบแล้ว เตรียมยื่นหน้าต่างช่อง 5 พอประมาณ 8.20 เราก็เดินไปช่อง 5 เช็คเอกสาร โอ้ยตาย!!!!! ลืมเอาเอกสารซองสีน้ำตาลที่ทางโรงพยาบาลเขาให้มา ทำไงดีนี่ก็จะ 9.00 น. แล้ว 

โทรหาเพื่อนที่ห้องค่ะ เพราะเขาจะต้องมาทำงานกันที่ชิดลม พระเจ้าช่วยเขากำลังจะก้าวออกจากห้องพอดี เราก็บอกเขาว่าเราลืมเอกสารให้เอามาให้ที่สถานฑูตหน่อย ไอ้เจ้าเพื่อนก็บอกว่่าให้มาเอาเองที่สถานีเพลินจิตได้ไหม เพราะว่าถ้ามันเข้างานสายจะโดนหักเงิน เราก็มองดูเวลา รีบพาลูกออกจากสถานฑูตแล้วขึ้นมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ไปรอเพื่อนที่เพลินจิต
โทรถามเพื่อนว่าถึงไหนแลู้ว สัญญาณก็ขาดๆหาย เพราะอยู่บนรถไฟฟ้า ตอนนั้นมองนาฬิกาเหลือเวลาอีก 20 นาที รถไฟฟ้าผ่านไป 2 ขบวนแล้วก็ยังไม่เห็นเพื่อนเลย แต่เรากับเพื่อนคุยกันก่อนว่าเพื่อนจะอยู่ตู้สุดท้ายให้มารอรับเอกสาร กว่าเพื่อนจะมาก็รอ จนขบวนที่ 3 พอรถไฟฟ้าจอดเพื่อนยื่นซองให้เรากับลูกรีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่รออยู่ ลูกก็ร้องและบอกว่าแม่เหนื่อยแล้วอย่าวิ่งเร็ว ไอ้เราก็สงสารลูกแต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง คนแถวนั้นก็มองว่่าสองแม่ลูกเป็นอะไร วิ่งกันหน้าตื่่นเชียว
ทีนี้มองดูนาฬิกาเหลืออีก 10 นาที ขึ้นมอเตอร์ไซด์ก็ดันไปติดไฟแดงอีก โอ้ยอยากจะตายจะทำยังดีนี่ อยากจะวิ่งเอาก็สงสารลูก เป็นไงเป็นกัน พอไปถึงหน้าสถานฑูตเห็นคนยังต่อแถวยาว ก็ไม่รู้จะทำไง ก็เดินเข้าไปบอกเขาข้างหน้าว่าได้เข้ามาแล้วครั้งนึง แต่ลืมเอกสาร เขาก็ให้รีบเขาไปเพราะเหลือเวลาน้อยแล้ว

พอพาลูกเขาไปก็วิ่งอีกค่ะ ไปถึงประตูก็ 9.00 น. พอดีเลย พอไปถึงก็ไม่มีใครอยู่ที่หน้าต่างเลย ว่างเปล่า เอาละซิใจเสีย มือสั่นขึ้นมา แต่โชคยังดีที่มีนักศึกษาฝึกงานออกมา แล้วบอกให้เรารอตรวจเอกสาร และเช็คชื่อว่ามีชื่อสัมภาษณ์ของลูกเราไหม เขาบอกนี่มายื่นเป็นคนสุดท้ายเลยนะเนี่ย ก็ทำไงได้ดันลืมเอกสารตัวสำคัญมา
ต่อไปเราก็นั่งรอ นานมากๆ ได้สัมภาษณ์ประมาณ 11.30 น สงสารลูกนะค่ะ เพราะเขาหิิวก็หิว ไอ้เราก็บอกทนก่อน พอถึงคิวสัมภาษณ์ เขาก็ถามว่า คุณเป็นแม่ใช่ไหมครับ เราตอบว่าใช่ แค่นี้เองค่ะ เขาก็บอกว่่าให้มารับวีซ่าตอนบ่ายในวันพรุ่งนี้ เราก็โล่งอกเลย

นี่ก็เป็นประสบการณ์โดยตรงจากเราในการสัมภาษณ์ K2 วีซ่า ค่ะ นี่ถ้าไม่มีเพื่อนช่วยตายแน่ๆ ยังไงคุณแม่ๆ เวลาพาลูกไปสัมภาษณ์อย่าลืมเอกสารเหมือนเรานะค่ะ เช็คให้ดีก่อนออกจากบ้าน ขนาดเราวางไว้บนหัวนอนแล้วนะเนี้ยยังลืมได้เลย

ขอบคุณเพื่อนๆนะค่ะ เราก็ดีใจเหมือนกันจะได้อยู่พร้อมหน้ากันซะที ตอนแรกกรอกเอกสารเขาก็จะถามว่าเอาลูกมาพร้อมหรือเปล่า เราก็ยังไม่พร้อมที่จะเอามา แต่ยังไงในเอกสารก็มีชื่อลูกเราอยู่แล้ว ทางสถานฑูตบอกว่าถ้าจะเอาลูกมาทีหลังก็ได้ เขาจะเก็บเอกสารไว้ 1 ปีค่ะ ก็คือต้องยื่นเรื่องขอสัมภาษณ์ก่อนครบกำหนด 1 ปีนะค่ะ ถ้าเราไม่ยื่นก็ต้องทำเรื่องใหม่ เราไม่อยากเสียเวลารอและอีกอย่างต้องถ้ายื่นเรื่องใหม่เอกสารที่ตามมาก็มากมายเหลือเกิน ยื่นก่อนครบกำหนด 1 ปีก็ไม่มีอะไรมาก เพราะว่าลูกมีเคสนัมเบอร์เหมือนเรา ก็แค่ใช้
    - Check list
    - DS 156
    - DS 157
    - Copy พาสปอร์ตลูก
    - รูปถ่ายลูก 2 ใบ
    แล้วก็ส่งไปที่สถานฑูต เพื่อขอวันสัมภาษณ์นะค่ะ

เสาร์ ต.ค. 14, 2006 1:19 am

Friday, March 10, 2006

K1-2006 แนน Mar09,06 รับ Mar10,06 @TX dewdrop

K1-2006 แนน Mar09,06 รับ Mar10,06 @TX  dewdrop 

ตื่นแต่ตี 5 เลยค่ะวันนี้ เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ งานนี้ฉายเดี่ยวไม่มีแม่ไปเป็นเพื่อนด้วย เพราะงวดที่แล้วที่พาแม่มา แม่นั่งแท๊กซี่แว๊บกลับบ้านไปเลย โดยที่เราไม่รู้เรื่อง เพราะฝากโทรศัพท์ไว้ (สงสัยคงเมื่อยยืนรอเราอยู่ข้างนอกไม่ไหว) พอโทรหาแม่อีกทีถามว่า "แม่ยืนอยู่ตรงไหน แนนหาแม่ไม่เจอ แม่ตอบกลับมาว่า "อยู่บ้าน" อิอิ แล้วเราอยู่หน้าสถานฑูต :D เมื่อคืนก็เลยบอกกับแม่ไปว่าเดี๋ยวแนนไปสถานฑูตเองคนเดียวนะพรุ่งนี้ แม่เค้าก็เลยอมยิ้ม... 

แนนไปถึงสถานฑูตประมาณ 6 โมง 40 วันนี้คนไม่ค่อยเยอะนะ (เพราะแถวยังไม่ยาวถึงสะพานลอย) ไปถึงก็ไปยืนต่อคิวยาวๆ เจ้าหน้าที่ที่เดินตรวจเช็คแถวเค้าเห็นเอกสารของแนน เพราะแนนเอาฟิลม์เอกซ์เรย์ไปด้วย เค้าก็เลยบอกว่า "วีซ่าถาวรช่องซ้ายเลยครับ" ปรากฎว่าช่องทางด้านซ้ายมือไม่มีคนเลย (ดีจังแฮะ) 

ไปถึงห้องนั่งรอ: ห้องทีมีลักษณะคล้ายโรงพยาบาลมีเก้าอี้เยอะ ๆ และก็มีเสียงเรียกจากบัตรคิว แต่ต่างกันเพราะว่าที่นี่มีภาษาเขมรด้วย :D รอสักแป๊บเค้าก็เรียกให้เราเอาเอกสารไปให้ ตอนนั้นก็ประมาณ 7 โมงได้แล้ว คนที่มาสัมภาษณ์วีซ่าคู่หมั้นวันนี้มีไม่ถึง 10 คนค่ะ อืม ต้องเรียงเอกสารให้ครบเรียบร้อยนะคะไม่งั้นเจ้าหน้าที่อาจจะดุเราได้ คนข้างหน้าแนนโดนมาแล้วค่ะ 

หลังจากที่ยื่นเอกสารก็ไปนั่งรอ ดูข่าว เม้าท์ (ได้เพื่อนใหม่ค่ะ) แลกรูปดูกันบ้าง เพราะเอารูปมาเป็นอัลบั้มเลย แต่ใช้จริงๆแค่ 2-3 ใบเอง เป็นรูปที่ถ่ายด้วยกัน พอประมาณ 9 โมง 15 เจ้าหน้าที่ฝรั่ง อายุปานกลาง ตาโตมากๆ ก็เริ่มเรียกชื่อผู้สัมภาษณ์แล้วค่ะ (เอาล่ะสิใจเต้นตุ่บๆแล้วแนน) แต่ก็ดีใจค่ะที่ได้เห็นคนที่มาสัมภาษณ์แล้วได้วีซ่ากลับไป 

10 โมงเป๊ะ เจ้าหน้าที่คนเดิมก็เรียกชื่อเรา ขอบอกว่าตอนนั้นตื่นเต้นมั่กมาก พอไปถึงก็ยกมือสวัสดีเค้า เค้าก็ยกมือสวัสดีพร้อมกับตอบกลับมาว่า "ซาหวัดดีครับ คุณซาบายดีมั้ยครับ" แนน:"สบายดีค่ะ ขอบคุณค่ะ" หลังจากนั้นเค้าก็พูดว่า "เอานิ้วชี้ข้างซ้ายไปที่เครื่องสแกนนิ้วด้วยคราบบ" ด้วยความตื่นเต้นแนนก็ใช้นิ้วชี้ข้างขวาสแกนไป! :D เค้าบอกไม่ใช่คร้าบบ ใช้ข้างซ้ายครับ หลังจากนั้นค่อยข้างขวา เสร็จแล้วแนนก็ยืนรอค่ะ แล้วเค้าก็คืนเอกสารตัวจริงกลับมาให้เรา คลิปมาให้อย่างดีเลยทีเดียว แล้วเค้าก็ถามว่า

"คุณโทมัส อาศัยอยู่ที่ไหน" แนนตอบ"อยู่เทนเนสซี่ค่ะ เมืองเมมฟิส" 

แล้วเค้าก็ถามกลับมาว่า"แล้วคุณรุจิราชอบดนตรีมั้ยคร้าบบ?" อืม "ชอบค่ะ" หลังจากนั้นเค้าก็ถาม

"คุณโทมัสมาเที่ยวเมืองไทยครั่งล่าสุดเมื่อไหร่ครับ" "เมื่อเดือนที่แล้วค่ะ ประมาณ 3 สัปดาห์ค่ะ

ถามเสร็จก็ยื่นเอกสารมาให้เซ็นต์ และก็พูดว่า "You've got visa! Congratulations ;) พูดเหมือนรายการเกมส์โชว์เลย :D "พรุ่งนี้มารับวีซ่านะคร้าบตอนบ่าย 3 โมง" แนนก็ยกมือไหว้ขอบคุณเค้าค่ะ และเค้าก็บอกว่า ยินดีคร้าบบบ

แนนเดินยิ้มแก้มไม่หุบเลยค่ะทีนี้ 

ขอบคุณทุกคนมากค่ะที่เอาใจช่วย และเป็นกำลังใจให้
แนน

Thursday, March 2, 2006

K1-2006 จูน Feb24,06 รับ Mar02,06 @WA Lindaly



K1-2006 จูน Feb24,06 รับ Mar02,06 @WA  Lindaly

สัมภาษณ์ผ่านแล้วค่าพร้อมกับแขนทั้งสองที่โดนฉีดยาทั้งสองครั้ง

สวัสดีค่าพี่ ๆ หลังจากที่ได้เข้ามาเว็บนี้ จูนก็เกิดความั่นใจบางอย่างว่าสักวันจูนจะได้วีซ่ามากอดค่า และแล้วจูนก็ผ่านการสัมภาษณ์จริง ๆ โดยที่ไม่มีอะไรต้องแก้ไขหรือว่าทำใหม่ นอกจากก่อนวันสัมภาษณ์ที่จูนโดนไปตรวจสุขภาพอีกครั้ง ครั้งนี้ได้ลดราคาค่ะ แต่แพงกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะคุรหมอคุยกับจูนนานเป็นพิเศษ ไม่เหมือนครั้งก่อน คุณหมอชวนคุยเรื่องตลก ๆและเรื่องบางอย่างที่สถานทูตชอบแกล้ง (อันนี้คุณหมอว่ามาค่ะ) คุณหมอใจดีมาก ๆ เลยให้จูนฉีดยาอีกครั้ง อิอิอิ เจ็บมากค่ะ แต่ว่า ไม่ได้ตื้นเต้นหรือประหม่าเหมือนครั้งแรก เพราะคุณหมอใจดี ตลก 

พอวันรุ่งขึ้นจูนกะจะออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าค่ะ เพราะเห็นพี่ติ๊กออกจากบ้านประมาณโมงกว่า แล้วได้คิวตั้งห้าโมง จูนไปถึงสถานทุตประมาณโมงกว่า รถไม่ติดมาก แต่หน้าสถานทูตคนต่อคิวยาวค่ะ รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่ว่ามีเจ้าหน้าที่มาบอกว่าของจูนเป็นวีซ่าถาวรให่เข้าไปได้เลยช่องทางซ้าย ที่ไม่มีคนเลยค่ะ พอไปถึงด้านในหลังจากที่โดนยึดโทรศัพท์ไปแล้ว ก็งงค่ะว่า ไม่เห็นเหมือนที่คิดไว้ มีช่อง 3 ช่องด้านนนอกแล้วหน้าต่าง 5 อยู่ไหนหว่า ทำหน้า งง อีกรอบก่อนจะเข้าไปตั้งตัวที่ห้องน้ำเพราะความตื่นเต้นทำให้ปวดฉี่ค่า 

จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาคุยด้วยอีก โชคดีครั้งที่สอง เค้าบอกว่า เข้าไปด้านในเลยครับ พร้อมชี้แล้วยื่นเอกสารช่อง 5 พอเดินเข้าไปด้านในจูนก้งงอีก อ้าว ทำไมบางคนยืนบางคนนั่งบางคนต่อแถว ในหัวคิดก่อนหน้านั้นว่า คนคงเยอะมากต่อแถวกันเม แต่ว่าวันที่จูนไปกลับมีคนไม่ค่อยเยอะ สงสัยจะเช้ามากๆ ค่ะ แล้วจูนก็ไปถามผู้ชายแก่คนหนึ่งที่คิดว่าเป็นคนไทย เค้าทำหน้างง จูนเลยยิ้มให้เค้าแล้วไปถามคนอื่นน ต่อ เพราะว่าเค้าเป็นคนเขมรค่ะ เลยมีผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าว่างัยคะน้องจูนเลยถามว่ายื่นเอกสารเลยเหรอคะ เค้าเลยว่า ใช่ค่ะ ยื่นแล้วหนูก็มานั่งรอนะครับ 

จากนั้นจูนก็ยื่นเอกสารค่ะ โชคดีที่ จูนทำ medical exam อีกครั้ง ทำให้หลักฐานครบเพราะ เค้าไม่คืนอันเดิมหรืออันใหม่ สงสัยเค้าจะไมได้เก็บไว้จริง ๆ หลักฐานส่งให้เค้าครั้งแรกก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัญหาอยู่ที่ ตอนเค้าบอกให้เขียนชื่อแฟน มือสั่นค่ะ เขียนไม่ออก ไม่ได้เวอร์ด้วยค่ะ อายมากกกกก ตัวหนังสือหงิก เพราะมือสั่น แถมยังเซ็นช้าอีก ไม่รู้ตอนนั้นเป็นยังไง สั่นมาก ๆๆๆ 

จากนั้นเค้าก้ให้รอเรียกสัมภาษณ์ ตอนนั้นหิวข้าวมากกกกกก ท้องร้องจ๊อกๆ ต่อมทอนซิลอักเสบแล้วยังปวดฟันเพราะฟันคุดงอกอีก แล้วก้ได้คุยกับคนที่มาสัมภาษณ์สองคนค่ะ ปรากาฏว่าหนึ่งในสองคนนั้นเป็นแฟนของเจ้านายแฟนจูนค่ะ เค้าสัมภาษณ์วันเดียวกัน เค้าจ้างทำค่ะ แพงมากเกือบแปดหมื่น แล้วเค้าก็ผ่านค่ะ กำลังจะแลกเบอร์กัน ก็มีคนเรียกชื่อจูนเป็นสำเนียงฝรั่งฟังไม่คุ้น ทำให้จูนงง ว่าอาจไม่ใช่จูนเค้าเรียก ถึงสามครั้งค่ะ จูนถึงรู้ว่าเค้าเรียกจูน เจ้าหน้าที่หล่อจริง ๆ ค่ะ confirm อีกคน และก็ท่าทางใจดีมาก เค้าถามจูนป็นภาษาไทยค่ะ แต่จูนงงฟังเค้าไม่ค่อยรู้เรื่องเราเลยคุยทั้งอังกฤษและไทยปน ๆ กันไป จูนว่าถ้าเค้าพูดอังกฤษอาจฟังง่ายกว่า แต่พูดไทยก็กันเองดีค่ะ 

คำถามมีว่า

1 คุณดิเรกอยู่ที่ไหนครับ washington ค่ะ
2.คุณกับคุณดิเรกพบกันกี่ครั้งครับ 3 ครั้งค่ะ
3.คุณกับคุณดิเรกพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ ตอนนี้จูนชะงักในหัวมีแต่คำว่า november ภาไทยอะไรหว่า โอ้ยยย นังจูนมาสับสนภาแม่ตัวเองอะไรตอนนี้ ออ้อ พฤศจิกายนค่ะ
4.คุณพบกับคุณดิเรกที่ไหนครับ พิษณุโลกค่ะ
แล้วเค้าก็พูดว่า ขอบคุณครับ 
จูน - เสร็จแล้วเหรอคะ
เจ้าหน้าที่ - ครับ(เซ้นอะไรสักอย่าง) สายตาจูนก้จ้องมงที่เอกสารที่อยู่ข้าง ๆเค้าที่มีคำว่า Approved แล้วก็ดูว่า ชื่อฉันรึปล่าวหว่า อึ๊ยยยย ใช่จริงด้วย ผ่านแน่ ๆเลย
จูน - เออ are you going to make an appointment for me on 27 feb?
เจ้าหน้าที่ - ครับ
จูน - could it be on the 2 march because i will be not available at all on 27 Feb?
เจ้าหน้าที่ - ohh yess of coase.. yes
จูน - thank you, so it means i pass, right? (พึ่งตระหนักว่าผ่านเร้อ)
เจ้าหน้าที่- อมยิ้มขำ ๆ ก่อนตอบว่า ครับ แล้วก็เซ้นต่อ อืมวันที่สองใช่มั้ยครับ
จูน -- ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ พร้อมไหว้ก่อนออกมา อ้อ วันนั้นจูนไหว้เค้าเกือบสามครั้งค่ะ ตอนเข้าไปสัมภาษณ์ ตอนเค้าบอกว่าผ่านและตอนที่เค้าเอาใบยื่นให้ แล้วเราลาเค้าออกมา 

จากนั้นก้ออกมาค่ะ กลับสารคามเพื่อเตรียมสอบ แล้วก็ ต้องกลับไปอีกวันที่สองมีนาคมค่ะ ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2-3 ชั่วโมง เร็วมากกกก เพื่อนรอด้านนอกยังไม่ทันทำอะไรเลย 

ตอนนี้ก้ขอจรลีไปเตรียมตัวสอบค่ะ ขอบคุณเว็บนี้มาก ๆที่ให้โอกาสพบเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่น่ารักและคำแนะนำหลายๆ อย่างที่ดี ๆ ตอนนี้จูนจะขอเตรียมตัวสอบก่อนจะดำเนินเรื่องต่าง ๆ ต่อไป คงจะขออยู้บ้านนี้อีกนาน อย่าพึ่งเบื่อหน้าจูนนะคะทุกคน ๆๆๆๆ